วันอังคารที่ 21 มิถุนายน พ.ศ. 2554

มาใช้ Firefox หรือ Chrome กันเถอะ




สำหรับบางคนที่ไม่ค่อยสนใจเรื่อง IT เท่าไหร่ อาจจะงงว่าไอ้ Firefox หรือ Chrome นี่มันคืออะไร

มันก็คือ Web browser หรือพูดง่ายๆ ก็คือโปรแกรมเล่นอินเตอร์เนตเหมือนอย่าง Internet Explorer นั่นเอง

สำหรับคนที่เคยใช้แต่ Internet Explorer คงจะเจอกับปัญหาจุกจิก ให้รำคาญใจบ่อยๆ ไม่ว่าจะเป็น เปิดเว็บช้าบ้าง ค้างบ่อยๆ หรือแม่แต่ปัญหาไวรัส มัลแวร์ หรือโทรจันต่างๆ

เพราะฉะนั้น ผู้เขียนเลยอยากให้ทุกท่าน ลองมาใช้ Firefox หรือ Chrome ดู โดยคุณ KaizerWing จาก ping2p.blogspot.com ให้เหตุผลไว้อย่างน่าสนใจ ดังนี้


เหตุผลที่ฝ่าย IT แนะนำให้ใช้ Mozilla Firefox หรือ Google Chrome

หลายท่านในสำนักงานคงคุ้นเคยกับการที่ฝ่าย IT พยายามผลักดันให้ใช้ Firefox หรือ Chrome แทน Internet Explorer (IE) ของ Microsoft นะครับ ซึ่งก่อนจะอธิบายเหตุผลในแง่ความสามารถแล้ว ผมอยากให้ดูสถิติการใช้งาน Web Browser ตั้งแต่ปี 2008 - 2011
http://gs.statcounter.com/#browser-ww-monthly-200807-201102

จากสถิติแสดงให้เห็นว่า IE นั้น คนทั่วโลกใช้งานน้อยลงเรื่อยๆ (45.44%) โดยมี Firefox (30.37%) และ Chrome (16.54%) ที่กินส่วนแบ่งมาได้ (โดยเฉพาะ Chrome ที่กำลังมาแรงมาก) โดยถ้าดูในทวีปยุโรปจะเห็นว่ามีคนใช้ Firefox มากกว่า IE แล้ว http://gs.statcounter.com/#browser-eu-monthly-200807-201102

ส่วนอีก 2 ประเทศที่น่าสนใจคือเวียดนาม http://gs.statcounter.com/#browser-VN-monthly-200807-201102 กับ ไทย http://gs.statcounter.com/#browser-TH-monthly-200807-201102 มีการใช้ IE (44.14% กับ 72.28%) มีการใช้ Firefox (39.62% กับ 15.07%) (ตัวเลขแรกคือเวียดนาม ตัวที่สองคือไทยครับ)


แล้วทำไมคนทั่วโลกถึงได้มีอัตราการใช้ IE ที่ลดลงเรื่อยๆ?

ที่เห็นได้ชัดสุดผมอยากให้ลองดูการวัดประสิทธิภาพโดยเว็บ Six Revisions ซึ่งเป็นเว็บที่มีชื่อเสียงในด้านการให้ความรู้เกี่ยวกับการพัฒนาเว็บ ไซต์
http://sixrevisions.com/infographs/browser-performance/ และเว็บ CybernetNews http://cybernetnews.com/browser-comparison-internet-explorer-firefox-chrome-safari-opera/
จะเห็นได้ว่า IE 8 ซึ่งเป็นตัวปัจจุบันมีประสิทธิภาพแย่กว่า Web Browser ตัวอื่นมาก ไม่ว่าจะเป็นในแง่ ความเร็วในการเปิดหน้าเว็บ การใช้งาน CPU หรือปริมาณ RAM ที่ใช้ก็ตาม

แต่ที่สำคัญคือในเรื่องการปฏิบัติตามมาตรฐานเว็บไซต์ จากการทดสอบด้วยชุดทดสอบ Acid3 คะแนนเต็ม 100 Firefox 3.5 ได้ 93 Chrome 3 ได้ 100 แต่ IE 8 ได้เพียง 20 ซึ่งประเด็นนี้ทำให้นักพัฒนาเว็บทั้งหลายปวดหัวกันมาก เพราะสร้างเว็บตรงตามมาตรฐานแต่ถ้าเปิดด้วย IE กลับเปิดแล้วเพี้ยนหรือเปิดไม่ขึ้น ดังนั้นนักพัฒนาจึงต้องทำเว็บหลายเวอร์ชันให้รองรับกับสิ่งที่ไม่ใช่มาตรฐาน (เว็บไซต์ nia.or.th ก็ทำทั้งรูปแบบที่รองรับ IE และ Web Browser อื่นที่ได้มาตรฐาน แต่ในขณะที่เว็บไซต์ที่ใช้กันเองภายในเพื่อเป็นการประหยัดเวลาจึงเน้นพัฒนา ตามมาตรฐานก่อน เพราะสามารถควบคุมการใช้งาน Web Browser ได้)

แล้วทำไมคนส่วนใหญ่ยังใช้ IE กันอยู่?
เหตุผลง่ายๆเหตุผลหนึ่งคือ IE แถมติดมากับ Windows ครับ โดยเฉพาะ Windows XP ที่แถม IE 6 มาให้ ซึ่งอายุของ IE 6 ก็ร่วมทศวรรษแล้ว (เริ่มปี 2001) ถึงกับมีบางเว็บตั้ง campaign ต่อต้าน IE 6 เลยทีเดียว (
http://www.ie6nomore.com/) ในยุโรปถึงกับออกใช้มาตรการป้องกันการผูกขาดโดยให้ผู้ใช้สามารถเลือก Browser ได้เองตอนลง Windows ครั้งแรก

ซึ่งหน่วยงานราชการไทยหลายแห่งก็ยังคงไม่ทราบข้อมูลเหล่านี้ และนิยม IE เป็น Browser หลัก ทำให้เป็นเรื่องขบขันในหมู่นัก IT ว่าหน่วยงานราชการไทยต้อง IE Only แต่ในขณะนี้ผมภูมิใจที่ได้บอกกับคนอื่น ว่าสำนักงานนวัตกรรมแห่งชาติไม่ได้อยู่ในกลุ่มนั้นแล้วครับ

แต่ก็น่ายินดีที่ในอนาคต IE 9 ของ Microsoft ที่กำลังจะออกมาในเร็วๆนี้ในสนใจที่จะทำตามมาตรฐานเว็บมากขึ้น และได้พัฒนาประสิทธิภาพที่ดีขึ้นมาก มาช้ายังดีกว่าไม่มานะครับ

แล้วถ้า Browser ตัวใหม่ของแต่ละค่ายออกมาเมื่อไหร่จะมาเล่าสู่กันฟังอีกทีนะครับ


เป็นอย่างไรบ้างครับ ต้องขอขอบคุณข้อมูลจากคุณ KaizerWing มา ณ โอกาสนี้นะครับ บทความนี้เค้าเขียนไว้ตั้งแต่เดือนมีนาคม 54 ซึ่งตอนนั้น Firefox 4 ยังไม่ออกมา แต่ปัจจุบันนี้ Firefox 4 ได้ออกมาแล้ว (Firefox 5 ก็มาแล้วเช่นกัน) พร้อมกับทำสถิติยอดดาวน์โหลดมหาศาล (มากว่า IE 9 ที่ออกมาก่อนหน้าอีกด้วย) ส่วน Chrome ก็พัฒนาถึงเวอร์ชั่น 12 แล้วเช่นกัน ผู้เขียนก็หวังว่าโปรแกรมเหล่านี้จะเป็นทางเลือกให้เราท่องเนตได้น่าอภิรมย์ยิ่งขึ้นนะครับ

วันพฤหัสบดีที่ 9 มิถุนายน พ.ศ. 2554

เกร็ดเล็ก เกร็ดน้อย เกี่ยวกับสุขภาพ





1. ใบต้นหอมมีประโยชน์
เมื่อมีอาการคัดจมูกให้เด็ดใบต้นหอมมา 1 ใบ เอาด้านในของใบมาทาบติดจมูก ทิ้งไว้สักครู่จะรู้สึกหายใจสะดวก

2. ขิงระงับอาการไอ
เวลาที่เราไอ ให้เอาขิงบดละเอียดคั้นเอาน้ำออก จากนั้นใช้ผ้าขาวบางหรือผ้าขนหนูชุยน้ำขิงมาปิดตรงคอ พันทิ้งไว้ 1 คืน จะช่วยระงับอาการไอได้

3. หัวผักกาดระงับอาการเจ็บคอ
เวลาเจ็บคอ ให้เอาหัวผักกาดขาวมาบดให้ละเอียด บีบน้ำให้แห้ง จากนั้นนำมาวางบนผ้าแล้วเอาผ้าอีกผืนวางทับ นำไปพันคอ ปล่อยทิ้งไว้ประมาณ 20-30 นาทีจึงเอาออก จะช่วยระงับอาการเจ็บคอ

4. แก้อาการสะอึก
ใส่น้ำในชาม วางตะเกียบคู่หนึ่งบนปากชาม ใช้คางเกยตะเกียบไว้แล้วใช้ลิ้นค่อยๆ เลียน้ำจากชามจะช่วยให้หายสะอึก

5. น้ำผึ้งรักษาปากเปื่อยได้
ใช้น้ำผึ้งทาบริเวณที่ปากเปื่อย แรกๆ อาจรู้สึกแสบ แต่จะช่วยได้ ที่สำคัญต้องเป็นน้ำผึ้งแท้เท่านั้น

6. การใช้ยาหยอดตาที่ถูกวิธี
คนที่มีปัญหาที่ตามักจะหยอดตาก่อนนอน ซึ่งจะทำให้เลือดไปค้างตรงบริเวณตา เวลาตื่นนอนจะทำให้ตาบวมหรือมีขี้ตา ดังนั้น ควรหยอดตาก่อนเข้านอนประมาณ 1 ชั่วโมง

7. ตั้งโต๊ะทำงานอย่างไร ไม่ให้เสียสายตา
เวลาอ่านหรือเขียนหนังสือ ถ้าแสงน้อยไป จะเกิดผลเสียต่อสายตา ให้ลองตั้งโต๊ะติดหน้าต่างหันไปทางทิศเหนือ เพราะแสงที่เข้าทางหน้าต่างจะเฉียงด้านซ้าย เราจึงไม่ถูกแสงตรงและแรงเกินไป ช่วยไม่ให้ระคายเคืองสายตา

8. นวดหน้าท้อง แก้ปัญหาท้องผูก
ก่อนลุกจากเตียงในตอนเช้า ให้นอนหงายบนเตียงแล้วใช้น้วมือทั้งสองข้างประกบกัน ให้ปลายนิ้วมือชี้ลงทางปลายเท้า ใช้ปลาบนิ้วคลึงไปรอบๆ สะดือ ตามเข็มนาฬิกา นวดหลายๆ รอบแล้วจึงลุกจากเตียง วิธีนี้จะช่วยบรรเทาอาการท้องผูกได้

9. ผลมะเดื่อรักษาริดสีดวงทวาร
ถ้าเป็นริดสีดวงทวาร ให้กินผลมะเดื่อวันละ 3-4 ผลเป็นประจำ หรือจะใช้ยางจากขั้วมาทาก็รักาได้เช่นกัน

10. เกลือคั่ว รักษากลิ่นตัว
หากมีกลิ่นตัว ให้นำเกลือมาคั่วแล้วใส่ถุงผ้าเล็กๆ มาถูเช้าเย็นทุกวัน จะช่วยให้กลิ่นตัวนั้นหมดไป

11. เยื่อเปลือกไข่หุ้มปากแผล
เวลาโดนมีดบาดนิ้วให้ใช้เยื่อบางๆ ใต้เปลือกไข่พันแผลไว้ นอกจากจะช่วยห้ามเลือดแล้ว ยังปลอดภัยต่อการติดเชื้อด้วย

12. เบบี้ออยล์ช่วยให้ผ้าพันแผลลอกง่าย
เวลาจะเปลี่ยนผ้าพันแผลใหม่ ก่อนดึงผ้าอันเก่าออกให้หยดเบบี้ออยล์ลงไปก่อนสักครู่ แล้งจึงค่อยๆ ดึงออก จะไม่เจ็บและผ้าพันแผลจะออกง่าย

วันศุกร์ที่ 3 มิถุนายน พ.ศ. 2554

วิธีลดความอ้วน...แบบกล้วยๆ

 

จากหนังสือพิมพ์ Bangkokbusinesenews ฉบับวันศุกร์ที่ 9 ตุลาคม พ.ศ. 2552

สรุปใจความได้ดังนี้


การรับประทานกล้วยมื้อเช้าเป็นที่นิยมในประเทศญี่ปุ่นเป็นอย่างมาก ปัจจุบันมีการก่อตั้งชุมชนออนไลน์ (Social Networking Service) สำหรับคนกินกล้วยเป็นอาหารมื้อเช้า(Mixi) เพื่อให้ข้อมูลความสำคัญของอาหารมื้อเช้าและการปฏิบัติตนเพื่อลดความอ้วนโดยใช้กล้วยเป็นอาหารทดแทนอาหารหลัก และพบว่าภายในเวลาสองปีครึ่งที่ผ่านมา สมาชิกชุมชนประสบความสำเร็จในการลดน้ำหนักถึง 300 คน

โดยชุมชนออนไลน์นี้มีผู้นำชื่อ "ฮามาจิ"

สูตรไดเอ็ทของเขาคือ กล้วยกี่ลูกก็ได้ตามใจอยาก  + น้ำเปล่า

ฮามาจิ พบว่าการลดน้ำหนักสัมพันธ์กับระบบย่อยอาหารในร่างกายของคนเราคือ

1. การกินผลไม้อย่างเดียว ทำให้กระเพาะได้พักผ่อน ช่วยฟื้นฟูสภาพการทำงานของกระเพาะ ลำไส้ และอวัยวะต่างๆ ในร่างกาย
2. หลังจากรับประทานผลไม้ไป 15-20 นาที ผลไม้จะเคลื่อนที่ไปสู่ลำไส้ และเริ่มถูกดูดซึมเข้าสู่ร่างกาย ขณะที่ผักคาร์โบไฮเดรตและโปรตีน จะใช้เวลาในการย่อยนานกว่า 3-4 ชั่วโมง
3. ส่วน “น้ำ” ที่ดื่มเข้าไป จะช่วยทำให้การหมุนเวียนของเลือด และของเหลวในร่างกายดีขึ้น ส่งผลดีต่อการขับของเสียออกจากร่างกาย


สารอาหารที่ได้จากกล้วยได้แก่

1. วิตามินบี1 และบี 2 เร่งการเผาผลาญน้ำตาลและไขมัน ป้องกันตัวบวม และฟื้นฟูร่างกายจากความเหนื่อยล้า
2. เกลือแร่ เช่น โปรแตสเซียม  ช่วยในการขับโซเดียมออกทางปัสสาวะ และแมกนีเซียม ช่วยควบคุมความดันเลือด และการทำงานของแคลเซียม
3. มีเส้นใย (fiber) บรรเทาอาการท้องผูกได้ดี
4. กล้วยยังมีฤทธิ์ในการขับพิษสูง เพราะแป้งในกล้วยดิบจะช่วยดีท็อกซ์ ส่วนกล้วยสุกช่วยเสริมภูมิต้านทานป้องกันหวัดได้ดี
5. สารโพลีฟินอล มีฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระ ทำหน้าที่ชะลอความแก่
6. สารยูจินอล ซึ่งเป็นไฟโตเคมีคัล ที่ช่วยเร่งการพัฒนาสภาพร่างกาย
7. เซโรโทนิน ช่วยลดอาการหงุดหงิด และทำให้ความอยากอาหารลดลง
8. ในเนื้อกล้วยเองมีเอ็นไซม์ช่วยย่อย ก็จะทำให้การย่อยเป็นไปอย่างราบรื่น
9. น้ำตาลในกล้วย ยังช่วยเพิ่มประสิทธิภาพให้มีสมาธิกับการทำงานมากขึ้น และส่งผลให้ความถี่และปริมาณการบริโภคน้ำตาลในระหว่างวันลดลงไปโดยปริยาย
10. มีผลวิจัยว่ากล้วยช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานของเซลล์ NK ซึ่งเป็นเซลล์ที่ทำหน้าที่จัดการมะเร็งได้ด้วย


วิธีปฏิบัติ

1. เริ่มจากกินกล้วยหอมอย่างเดียวในมื้อเช้า จะกี่ลูกก็ได้ตามต้องการ เคี้ยวให้ละเอียด
2. หลังจากกินเสร็จแล้วยังหิวอยู่ ให้เว้นระยะเวลา 15-30 นาที จึงรับประทานอย่างอื่น เช่น ข้าว
3. ถ้าวันไหนเบื่อกล้วย หรือไม่ชอบกล้วยหอมจริงๆ จะเปลี่ยนเป็นผลไม้ชนิดอื่นก็ได้ แต่ขอให้เป็นผลไม้ชนิดเดียวเท่านั้น เพื่อแบ่งเบาภาระของกระเพาะของเราไม่ให้เหนื่อยเกินไปที่จะผลิตน้ำย่อยกรดด่างต่างกัน
4. การดื่มเฉพาะน้ำเปล่า ณ อุณหภูมิห้อง และดื่มบ่อยๆ โดยไม่ต้องกังวลเรื่องปริมาณ
5. ส่วนมื้อกลางวัน จะกินอะไรก็ได้ แต่ต้องเคี้ยวให้ละเอียด กินให้เต็มที่ เพื่อลดการกินจุบกินจิบระหว่างวัน
6. พอถึงบ่ายสามก็กินของว่างได้บ้าง โดยเฉพาะของว่างประเภทข้าว ช็อกโกแลต หรือผลไม้ชนิดใดชนิดหนึ่งเท่านั้น และกินอาหารเย็นให้เร็วที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ โดยเวลาเหมาะสมจะอยู่ที่ 6 โมงเย็นแต่ไม่เกิน 2 ทุ่ม และพยายามกินให้เร็วขึ้นจากปัจจุบันสักครึ่งชั่วโมง รวมทั้งไม่รับประทานของหวานหลังอาหารเย็นด้วย
7. นอนหลับให้ไวขึ้น ไม่ว่าจะอย่างไรก็ต้องนอนก่อนเที่ยงคืนให้ได้
8. ให้ความสำคัญกับการออกกำลังกายที่ไม่หักโหมจนเกินไป ทำให้พอเหมาะ เพื่อร่างกายสดชื่น


         อย่างไรก็ดี นักโภชนาการแนะนำว่า สูตรนี้เหมาะกับคนที่ไม่รับประทานอาหารเช้า หรือรับประทานอาหารเช้าที่ไม่มีประโยชน์ต่อร่างกาย แต่ผู้ที่ไม่ควรลิ้มลองคือ ผู้ป่วยโรคเบาหวานและโรคไต เนื่องจากกล้วยมีน้ำตาลและโปแตสเซียมสูง ในขณะที่ผู้ที่รับประทานอาหารเช้าเพื่อสุขภาพอยู่แล้วก็ไม่จำเป็น อาทิเช่น คอร์นเฟลกกับนม, ข้าวกับแกงจืดตำลึง หรือ ข้าวกับไก่ผัดขิง เป็นต้น

    
ในขณะเดียวกัน สูตรลดน้ำหนักนี้ก็ไม่เหมาะกับเด็กวัยเรียน เนื่องจากเด็กวัยนี้ต้องการโปรตีนในช่วงเช้าเพื่อเป็นแหล่งพลังงานระหว่าง วัน โดยนักโภชนาการแนะว่า หากต้องการลดน้ำหนัก อาจจะปรับสูตร เช่น กล้วยกับหมูปิ้ง กล้วยกับไข่ต้ม หรือกล้วยกับชีสแบบไขมันต่ำ

    
นักโภชนาการยังบอกด้วยว่า ไม่เฉพาะแต่กล้วยที่สามารถนำไปใช้เป็นสูตรลดน้ำหนักได้ ผลไม้อื่นก็สามารถทำได้เช่นกัน โดยดูจากผลไม้ที่ไม่หวานมาก ไม่หนักแป้ง และกินได้ง่าย เช่น แอ๊ปเปิ้ล แคนตาลูป หรือแตงโม เป็นต้น ในขณะเดียวกัน ก็ควรหลีกเลี่ยงทุเรียน, ขนุน ที่หวานจัดหรือผลไม้ที่เป็นกรดเช่น สับปะรด

ข้อมูล
ladytip.com
iqraforum.com

วันพฤหัสบดีที่ 2 มิถุนายน พ.ศ. 2554

หาทางออกเมื่อความคิดจนมุม



        คนเรานั้น ต่อให้เก่งกาจ ปราดเปรื่อง ระดับอัจฉริยะ ก็ต้องมีวันจนมุมทางความคิดเข้าจนได้แหละน่า ในการทำงานรูปแบบใดก็ตามไม่ใช่ว่าอยู่ดีๆแล้วความคิดสร้างสรรค์หรือไอเดียใหม่ๆจะเกิดขึ้นมา ได้ง่ายๆบางครั้งคุณอาจจะจนมุมคิดอะไรไม่ออก เรามีวิธีช่วยให้คุณสร้างมันขึ้นมาได้เองเรื่อยๆดังนี้
        ลองทำแบบเด็กๆ ข้อดีของเด็กก็คือเด็กสามารถเปิดหู เปิดตารับรู้สิ่งใหม่ๆ ได้มากกว่าผู้ใหญ่ ดังนั้น การเก็บของเล่น บางชิ้นไว้ข้างๆตัว เช่น ดินสอสีหรือดินน้ำมัน จะทำให้คุณคลายความเครียดได้ คุณอาจจะนำมาเล่นเวลาที่สมองไม่ทำงาน และมันยังช่วยย้ำเตือนความสนุกสนานสมัยเด็กอีกครั้ง จนส่งผลให้ความคิดของคุณกระฉับกระเฉง มากยิ่งขึ้น
        ใช้กลยุทธ์ ใยแมงมุม ลองเขียนหัวข้อในกระดาษดู แล้วลากเส้นออกไปสัก5-6เส้น ในแต่ละปลายของเส้นให้คุณเขียนคำแรกที่แวบเข้ามาในใจของคุณลงไป จากนั้นก็ให้ลากเส้นเพิ่มต่อไปจากคำนั้น อีก 6 เส้น ทำเช่นนั้นจนสุดของกระดาษ การใช้วิธีแตกหน่อสร้างใยแมงมุมเช่นนี้ จะทำให้คุณมองเห็นสิ่ง ที่เขื่อมโยงต่อกัน ซึ่งทำให้คุณ ได้แนวคิด สร้างสรรค์ใหม่ๆออกมา
        เปลี่ยนบรรยากาศให้แปลกใหม่ การทำงานที่จำเจ อยู่ในสภาพแวดล้อม เดิมๆ จะทำให้สมองของคุณถูกปิดกั้น และความคิดสร้างสรรค์ถูกบั่นทอน คุณควรจะหามุมหนึ่งในห้องทำงาน ซึ่งไม่มีใครใช้ หรือในห้องประชุมที่ไม่มีคนอยู่เป็นที่ทำงาน         การนั่งทำงานในที่ใหม่ๆ จะทำให้คุณ สร้างสรรค์สิ่งใหม่ๆออกมา และทำให้ไอเดียบรรเจิดขึ้น ถ้าคุณไม่อาจจะย้ายไปนั่งทำงานในที่อื่นได้ ก็ให้ตกแต่งโต๊ะทำงานเสียใหม่ อาจหารูปภาพสวยๆ มาวางไว้ คุณจะตกแต่ง อย่างไรก็ได้ เพื่อเปลี่ยน ความรู้สึก ที่ว่า คุณทำงานอยู่ที่นี่ มาเป็นชาติแล้ว
ที่มา : jobbkk 17-2-2554

วันพุธที่ 1 มิถุนายน พ.ศ. 2554

ความจริง 25 ข้อ ที่รู้แล้วอึ้ง !!!

ความจริง 25 ข้อ ที่รู้แล้วอึ้ง !!!

1. กล้ามเนื้อที่แข็งแรงที่สุดในร่างกายคนเราคือ ลิ้น 

2.ผู้หญิงกระพริบตาบ่อยกว่าผู้ชายถึงสองเท่า และ มากกว่าถึงสามสิบครั้ง เมื่อพวกเธออยู่สระว่ายน้ำ

3.ชื่อโหลที่สุดหาใช่ “จอห์น” หรือ “ฃาร่าห์” ไม่ แต่เป็น ”โมฮัมเหม็ด” ต่างหาก

4.คนเราไม่สามารถที่จะเลียข้อศอกของตัวเองได้

5.แมลงสาบหัวขาด สามารถมีชีวิตอยู่ต่อไปได้ถึง 9 วัน ก่อนที่มันจะอดอาหารจนตาย

 
6.เวลาปลาหมึกยักษ์ หิวจัดเอามาก ๆ มันจะกินหนวดของมันเอง และ รู้มั้ยว่า มันยังเป็นสัตว์ที่มีลูกตาใหญ่ที่สุดในโลก 

7.แมงมุมแม่หม้ายดำฃึ่งกลืนกินคู่ขาหลังจากการสมสู่ ยังสามารถหม่ำแมงมุมตัวผู้ได้ถึงวันละ 25 ตัวอีกด้วยร้ายกาจมากกกกก!

8.เตียงนอนในบ้านโดยทั่วไปแล้ว จะมีตัวเล็นและตัวไรฃ่อนอยู่ถึง 6 พันล้านตัว  
 
9.ผึ้งจะทำกายบริหารก่อนจะบิน

10.การ์ตูนโดนัลด์ดั้กเคยถูกประกาศห้ามเผยแพร่ในฟินแลนด์ เพียงเพราะว่ามันไม่สวมกางเกง



11.โดยถัวเฉลี่ย มนุษย์จะกินแมงมุมเข้าไป 8 ตัวตลอดชั่วชีวิตหนึ่ง ก็เวลาที่มันคลานเข้าไปในปากตอนเราหลับปุ๋ยไง อึ๊ยยย! และรู้มั้ยว่า คนส่วนใหญ่กลัวแมงมุม มากกว่ากลัวตายซะอีก

12.ถ้าคุณลากเส้นชอล์กผ่านฃวางทางเดินของมด มันจะไม่ยอมเดินผ่านข้ามไป

13.ในแต่ละวันผู้หญิงจะฉอเลาะมากถึง 7.000 คำต่อวัน ขณะที่ผู้ขายปริปากแค่ 2.000 คำต่อวันเอง

14.คุณรู้หรือเปล่าว่า ไม่ว่าแผ่นกระดาษจะมีขนาดใหญ่แค่ไหน 

คุณไม่สามารถพับครึ่งได้ถึง 6 ทบ ไม่เชื่อลองดูสิ

15.ครั้งหนึ่งชาวเบลเยี่ยมเคยพยายามใช้แมวเหมียวเป็นตัวส่งจดหมาย ไม่จำเป็นต้องบอกเลยว่า ไม่มีทางสำเร็จผล

16.คุณรู้ไหมว่าโดยทั่วไปแล้วผู้หญิงจะกลืนกินลิพสติกลงท้องไปถึง 4 ปอนด์ ในตลอดชีวิตของเจ้าหล่อน

17.ตลอดทั้งชีวิตแล้ว คนทั่วไปจะใช้เวลาจูจุ๊บกันรวมแล้วเกือบสองอาทิตย์เชียวนะ

18.เป็นไปไม่ได้เลยที่คุณจะ จามทั้งๆ ดวงตายังเปิด

19.เห็นชัดได้ว่า ลูกตาของคนเราคงขนาดเดิมมาตั้งแต่เกิด แต่จมูกกับหูนั้น ไม่เคยหยุด การเจริญเติบโตเลย!

20.วอลท์ดิสนี่ย์ผู้สร้างสรรค์ตำนานการ์ตูนมิคกี่ย์เม้าส์นะ อันที่จริงแล้วเค้าเป็นคนกลัวหนูจะตายไป 


21.เอาหัวโขกกับกำแพงซักหนึ่งชั่วโมง ช่วยเผาผลาญหลังงานได้ถึง150 แคลอรี่

22.อัลมอลล์เป็นพืชตระกูลหนึ่งของพีช

23.โฆษณานาฬิกาทุกชิ้น มักให้เข็มนาฬิกาหยุดอยู่ที่ 10:10 เพราะจะได้ดูเป็นรูปใบหน้ายิ้ม

24.ลายเสือเกิดขึ้นจากหนังของมัน ไม่ใช่จากขน

25.ร้อยละ 80 ของคนที่อ่านบทความนี้พยายามจะเลียข้อศอกตัวเอง!!---------