วันศุกร์ที่ 29 กรกฎาคม พ.ศ. 2554

รู้ไว้ไม่เด๋อ พจนานุกรมศัพท์แชทของวัยรุ่น


รู้ไว้จะได้เข้าใจวัยรุ่นสมัยนี้นะครับ

กาก - อ่อนหัด ไร้ประโยชน์ หรือ ไม่ได้เรื่อง มีต้นกำเนิดของคำมาจากขยะ เศษกาก หรืออะไรที่ไม่มีประโยชน์  กิ๊ก
- เป็นคำสุภาพของคำว่า "ชู้"  หมายถึงเพื่อนต่างเพศที่มีความสำคัญมากกว่าเพื่อนทั่วไป (แต่ปัจจุบันเริ่มลามมาเป็นเพศเดียวกัน) คือมากกว่าเพื่อนแต่ยังไม่ถึงขั้นคนรัก ที่มาของคำยังไม่ชัดเจนว่ามาจากคำว่า "กุ๊กกิ๊ก" ที่หมายถึงลักษณะของวัยรุ่นที่กุ๊กกิ๊ก หรือ มาจากคำว่า "gig" ซึ่งเป็นคำแสลงในภาษาอังกฤษ แปลว่า กิจกรรมระยะสั้น

เกรียน
- เริ่มมาจากวงการเกมออนไลน์ที่ผู้เล่นส่วนมากจะเป็นเด็กชายวัยหัวเกรียน และบางคนจะมีพฤติกรรมที่แปลกๆ คือขี้อวด เบ่ง โอ่ว่าตนเองเก่ง หรือกวนประสาททำให้คนอื่นวุ่นวาย ดังนั้นจึงเป็นที่มาของคำว่า "เกรียน" ใช้เรียกคนที่มีพฤติกรรมหรือลักษณะดังกล่าว

ขำขำ
- เป็นฝาแฝดของคำว่า "จิ๊บจิ๊บ" หมายถึงว่า เรื่องเล็กน้อย อย่าซีเรียส ชิลๆ เช่น อกหักเรื่องจิ๊บๆ หาใหม่ก็ได้ (เหรอ)

แจ่ม
- มีรากฐานมาจากคำว่า "แจ่มใส" ที่ไม่ได้แปลว่าสำนักพิมพ์ แต่หมายถึงมองแล้วแจ่มใส สดชื่นสบายตา ใช้ในกรณีที่พบกับเหตุการณ์ที่ทำให้น่าพอใจ เช่น เจอหนุ่มหล่อหรือสาวสวย
 
เด้ง
- หมายถึงคนที่แต่งตัวแต่งหน้าโดดเด่นงามเริดกว่าปกติ เสมือนเป็นอะไรที่เด้งดึ๋งโผล่ขึ้นมาโดดเด่นท่ามกลางประชาชี

เด็กแว้น
- หมายถึงกลุ่มเด็กวัยรุ่นทั้งชายและหญิงที่ชอบขับขี่มอเตอร์ไซค์เสียงดัง และคิดกันไปเองว่า เสียงยิ่งดังยิ่งเจ๋ง คำว่า "แว้น" มาจาก เสียงแว้นนนนนที่ดังออกมาจากท่อไอเสียนั่นเอง ซึ่งร้อยละ 80 พบว่า หลังจากจบเสียงแว้นแล้ว ก็จะตามมาด้วยเสียงรถหวอนั่นเอง

นอย (noid)
- มาจากคำว่า paranoid และกลายเป็น noid ในที่สุด หมายถึงคนที่ชอบวิตกกังวลมากเกินเหตุ เช่น แฟนไปเที่ยวเชียงใหม่หลายวันก็เลยนอยด์แฟน เพราะกลัวว่าแฟนจะไปปิ๊งเด็กดอย

เนียน- หมายถึงพฤติกรรมที่แนบเนียนหรือแกล้งทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้ เช่น ยังทำงานไม่เสร็จ แต่เพื่อนกลับบ้านหมดแล้ว เลยขอเนียนกลับด้วย

เมพขิง
- มาจากคำว่า "เทพจิงๆ" ที่มาจากคำว่า "เทพจริงๆ" อีกที มีที่มาจากอุบัติเหตุหรือความไม่ตั้งใจ นั่นคือพิมพ์ผิดเพราะแป้นมันอยู่ใกล้กันนั่นเอง ใช้สรรเสริญหรือยกย่องคนที่มีความสามารถ

เฟค
- หรือ fake ใช้เรียกคนที่มีพฤติกรรมปากอย่างใจอย่าง สร้างภาพ เช่น เกลียดเด็กเข้าไส้ แต่แสร้งทำเป็นกอดเด็ก

สก๊อย
- เป็นสัญลักษณ์คู่กับเด็กแว้น หมายถึงเด็กวัยรุ่นผู้หญิงที่นั่งซ้อนมอเตอร์ไซค์ของเด็กแว้น มักนิยมใส่เสื้อรัดติ้ว สายเดี่ยว เสื้อกล้าม และกางเกงขาสั้นเอวต่ำ หน้าจะต้องขาววอก และปากจะต้องแดงด้วยน้ำยาอุทัยทิพย์ตลอดเวลา

สาวแว่น
- ใช้เรียกสาวน้อยหรือสาวสวยที่ใส่แว่นแล้วดูหน้าตาน่ารักจิ้มลิ้ม แต่ถ้าใส่ออกมาแล้วดูแย่ อันนั้นเรียกป้า

อะเฟรด
- มาจากศัพท์ภาษาอังกฤษคำว่า afraid ที่แปลว่า กลัว ใช้ตำหนิหรือด่าคนหรือสิ่งของที่ดูสกปรก ซกมก ไม่น่าเข้าใกล้ เช่น ขี้ไคลติดปาก น้ำหมากติดฟัน เป็นต้น

โอ
 - มาจากคำว่า "โอเค" หมายถึง ใช้ได้ ตกลง เอาตามนี้แหละ เป็นการตัดคำให้กระชับและสั้นลงเพื่อความสะดวกในการพิมพ์
 

ขอขอบคุณ
http://www.dek-d.com/kpay

วันจันทร์ที่ 25 กรกฎาคม พ.ศ. 2554

เรื่องที่คนทั่วไปมักเข้าใจเกี่ยวกับดาราศาสตร์ (ต่อ)

เมื่อพระอาทิตย์ขึ้นหรือตก จะมองเห็นดวงอาทิตย์มีขนาดใหญ่กว่าปกติ เนื่องจากแสงจากดวงอาทิตย์ถูกหักเหโดยบรรยากาศโลก

ผิด !
ไม่เชื่อลองดูก็ได้
ลองทดสอบกับดวงจันทร์ดู ในคืนที่ฟ้าใส เดือนเพ็ญ หรือใกล้ ๆ เพ็ญ เตรียมกล้องถ่ายรูปพร้อมกับเลนส์เทเลโฟโต้ขนาดเหมาะมือสักอันหนึ่ง เมื่อดวงจันทร์ขึ้นจากขอบฟ้าตอนหัวค่ำ เราจะเห็นว่าดวงจันทร์มีขนาดใหญ่โตกว่าปกติ ถ่ายรูปดวงจันทร์ตอนนี้เอาไว้ภาพหนึ่ง หลังจากนั้นประมาณ 4-5 ชั่วโมง ดวงจันทร์จะขึ้นมาสูงถึงเกือบกลางศีรษระและแลดูขนาดเล็กกว่าตอนที่เห็นเมื่อ หัวค่ำมากมาย ให้ถ่ายภาพดวงจันทร์ตอนนี้อีกภาพหนึ่ง ด้วยเลนส์ตัวเดิม หลังจากล้างฟิล์มออกมาแล้วลองเปรียบเทียบขนาดของดวงจันทร์ของทั้งสองภาพดู
ภาพดวงจันทร์ทั้งสองภาพมีขนาดเท่ากันทุกประการ

เหตใดจึงเป็นเช่นนั้น?
เกิดจากสิ่งต่าง ๆ ที่อยู่บริเวณขอบฟ้าเช่นหลังคาบ้าน ต้นไม้ ช่วยเสริมให้ภาพของดวงจันทร์ที่ขอบฟ้าดูมีขนาดใหญ่เกินจริง ในขณะที่ดวงจันทร์ที่อยู่มุมเงยสูง ๆ จะไม่มีอะไรอยู่เคียงข้างจึงดูเหมือนกับดวงเล็กลง คนที่เคยดูเครื่องบินโดยสารที่รันเวย์ของสนามบินก็จะรู้สึกว่าเครื่องบิน นั่นมีขนาดเล็ก ประมาณขนาดราว ๆ รถบัสสักคันเห็นจะได้ แต่เมื่อเห็นรถบันไดเข้าไปเทียบและมีคนเดินออกมาจึงได้ทราบว่าเครื่องบินลำ นั้นช่างใหญ่โตมโหฬารเสียจริง ๆ ในกรณีนี้ก็สามารถอธิบายได้ด้วยเหตุผลเดียวกัน ประสาทสัมผัสของคนเรามักถูกสิ่งแวดล้อมหลอกเอาอยู่เสมอ แต่กล้องถ่ายรูปที่เราใช้ทดลองมีความแม่นยำและซื่อตรงกว่าจึงเป็นสิ่งที่ พิสูจน์ข้อเท็จจริงข้อนี้ได้เป็นอย่างดี
ที่กล่าวว่าบรรยากาศของโลกหักเหแสงของดวงอาทิตย์นั้นก็มีส่วนจริง แต่ผลของการหักเหคือทำให้ตำแหน่งและสีของดวงอาทิตย์คลาดเคลื่อนจากความเป็น จริงเท่านั้น
หมายเหตุ
เหตุที่แนะนำให้ทำการทดลองกับดวงจันทร์แทนเนื่องจากปลอดภัยต่อสายตาและ กล้องมากกว่า หากทดลองกับดวงอาทิตย์ก็จะให้ผลเช่นเดียวกัน แต่จะต้องใช้อุปกรณ์กรองแสงที่เหมาะสมด้วย

ไม่ไปวันนี้ จะต้องรออีกกี่ปีแสง?

นี่ก็ไม่มี !
คำว่า "ปีแสง" เป็นหน่วยของระยะทาง ไม่ใช่หน่วยของเวลา เท่ากับระยะทางที่แสงเดินทางในเวลาหนึ่งปี ดังนั้นจึงมีแต่คำว่า "ไกลหลายปีแสง" หรือ "นายหลายปี" เท่านั้น ด้วยเหตุที่มีคำว่า "ปี" อยู่ด้วยจึงมักมีผู้เข้าใจผิดคิดว่ามันเป็นหน่วยของเวลา

 

จะดูอาทิตย์เที่ยงคืนก็ต้องไปนอร์เวย์

ไม่จำเป็น !
ขอเพียงพื้นที่นั้นอยู่ที่ละติจูดสูงกว่า 66.5 หรือต่ำกว่า -66.5 องศาก็มีโอกาสเห็นพระอาทิตย์เที่ยงคืนในกลางฤดูร้อนได้ทั้งนั้น

 

ทฤษฎีสัมพันธภาพของไอน์สไตน์

มีซะที่ไหนกัน !
ไอน์สไตน์ไม่เคยเขียนทฤษฎีอย่างว่านี้หรอก ทฤษฎีที่ชื่อ Theory of Relativity ของเขาน่ะเรียกว่า ทฤษฎีสัมพัทธภาพ ต่างหาก


สุริยุปราคาคือปรากฏการณ์ที่เงาดวงจันทร์ไปบังดวงอาทิตย์

ผิด !
คนมักพูดกันแบบนี้ จริง ๆ แล้วสิ่งกลม ๆ ดำ ๆ ที่ไปบังดวงอาทิตย์เวลาเกิดสุริยุปราคานั่นคือดวงจันทร์จริง ๆ ไม่ใช่เงาดวงจันทร์ เงาดวงจันทร์คือสิ่งที่มาพาดบนผิวโลก ทำให้บริเวณที่ถูกเงาพาดเกิดความมืดชั่วขณะ และคนที่อยู่ในพื้นที่ดังกล่าวก็สามารถมองเห็นปรากฏการณ์สุริยุปราคาเต็มดวง ได้ เชื่อว่าคนส่วนใหญ่เข้าใจถูกต้องดีอยู่แล้วว่าอะไรบังอะไร แต่คงเพราะเห็นว่ามันเกี่ยวข้องกับความมืดกระมัง พอพูดหรือเขียนออกมาทีไรมักมีคำว่าเงาออกมาอยู่บ่อย ๆ เรียกว่าผิดเพราะลมปากพาไปแท้ ๆ
วงกลมสีดำที่บังดวงอาทิตย์ในปรากฏการณ์สุริยุปราคาคือดวงจันทร์ ไม่ใช่เงาดวงจันทร์

 

สู่สหัสวรรษใหม่ ปี 2000

ยัง
สหัสวรรษที่ 3 จะเริ่มเมื่อวันที่ 1 มกราคม ค.ศ.2001 ไม่ใช่ปี 2000 เนื่องจากปี ค.ศ.เริ่มต้นที่ ค.ศ.1 ไม่ใช่ ค.ศ. 0 ดังนั้น การขึ้นสหัสวรรษใหม่จึงเกิดขึ้นเมื่อวันที่ 1 มกราคม ของปี 1001, 2001, 3001...
ในทำนองเดียวกัน การขึ้นศตวรรษใหม่จึงเกิดขึ้นเมื่อวันที่ 1 มกราคม ของปี 101, 201, 301... ด้วย

 

ผมใช้กล้องชมิดท์

ใช่เหรอ?
กล้องโทรทรรศน์ชนิดที่เป็นที่นิยมมากชนิดหนึ่งในหมู่นักดูดาวทั่วโลกคือ กล้องแบบชมิดท์แคสสิเกรน (Schmidt-Cassigrain) แต่เราจะเรียกกล้องชนิดนี้ย่อ ๆ ว่า "กล้องชมิดท์" ไม่ได้ เพราะหากพูดว่า "กล้องชมิดท์" จะหมายถึงกล้องอีกชนิดหนึ่ง ซึ่งรูปร่างคล้าย ๆ กับกล้องแบบแคสสิเกรน ไม่มีเลนส์ตาสำหรับมอง แต่มีช่องด้านข้างกล้องสำหรับติดและถอดแผ่นเพลตแทน หรือไม่ก็มีสายไฟออกมาสำหรับให้ต่อเข้าเครื่องคอมพิวเตอร์ กล้องชมิดท์นี้เป็นกล้องสำหรับถ่ายภาพโดยเฉพาะ มีราคาแพงมาก เนื่องจากกล้องแบบชมิดท์แคสสิเกรนกับกล้องแบบชมิดท์ไม่เหมือนกัน ดังนั้นหากจะเรียกกล้องแบบชมิดท์แคสสิเกรน ควรเรียกตรง ๆ ว่า "ชมิดท์แคสสิเกรน" หรือถ้าจะเรียกย่อ ๆ ก็ควรเรียกว่า "กล้องเอสซีที" (SCT) มากกว่า

 

คืนเดือนหงายคือคืนที่ดวงจันทร์เป็นรูปเสี้ยวหงาย คืนเดือนคว่ำคือคืนที่ดวงจันทร์เป็นรูปเสี้ยวคว่ำ

มั่วแล้ว
เดือนหงายหมายถึงคืนที่เห็นดวงจันทร์ คำที่ตรงข้ามกันคือคำว่าเดือนมืด หมายถึงคืนที่มองไม่เห็นดวงจันทร์ ส่วนเดือนคว่ำไม่มี

 

ดาวประจำเมืองคือดาวที่อยู่กับที่ อยู่ทางทิศเหนือ เรียกอีกชื่อว่าดาวเหนือ

นี่ก็มั่ว
ดาวประจำเมืองคือดาวศุกร์ที่เห็นในช่วงหัวค่ำ ปรากฏอยู่บริเวณทิศตะวันตก อาจเฉียงเหนือหรือใต้ได้บ้าง แต่ไม่ใช่ทิศเหนือ และไม่ใช่ดาวเหนือ ดาวเหนือก็คือดาวเหนือ คนละดวงกัน
เข้าใจว่าคงเพราะดาวประจำเมืองมีคำว่า "ประจำ" อยู่นี่เอง ทำให้คนมักคิดไปว่าเป็นดาวที่ประจำอะไรสักอย่าง จึงไพล่ไปนึกถึงดาวเหนือซึ่งมีตำแหน่งประจำขั้วฟ้าเหนือ ซึ่งเป็นการเข้าใจผิด

 

ฝนดาวตกเกิดจากการที่ธารสะเก็ดดาวจากดาวหางเคลื่อนที่เข้ามาใกล้โลก แรงดึงดูดของโลกจึงดึงดูดสะเก็ดดาวเข้ามาสู่โลกกลายเป็นดาวตก

ผิดแล้ว
เคยเห็นข้อความนี้จากสื่อเผยแพร่ความรู้หรือบทความจากหน่วยงานไหนสักแห่ง ดู ๆ ไม่น่าจะผิดแต่ก็ผิด ปัจจัยสำคัญที่ทำให้สะเก็ดดาวจากดาวหางตกลงสู่โลกจำกลายเป็นฝนดาวตก เกิดจากการที่เส้นทางการโคจรของโลกไปตัดกับธารสะเก็ดดาวเอง เมื่อโลกเคลื่อนที่ฝ่าเข้าไปในธารสะเก็ดดาว สะเก็ดดาวจึงเข้ามาสู่บรรยากาศโลกกลายเป็นดาวตก แรงดึงดูดของโลกแม้จะมีอยู่จริง แต่มีผลต่อการทิศทางการเคลื่อนที่ของสะเก็ดดาวน้อยมากจนแทบจะตัดออกไปได้เลย


ขอขอบคุณ
สมาคมดาราศาสตร์ไทย

วันพุธที่ 6 กรกฎาคม พ.ศ. 2554

เรื่องที่คนทั่วไปมักเข้าใจเกี่ยวกับดาราศาสตร์

ไม่แน่ อาจจะเป็นตัวผู้อ่านเองก็ได้ที่เข้าใจผิดอยู่ ลองมาดูกันครับ

1. ฤดูร้อนโลกจะเคลื่อนที่เข้าใกล้ดวงอาทิตย์มากที่สุด

ผิด !
เรื่องนี้เป็นเรื่องที่เข้าใจผิดกันมากที่สุด คนส่วนใหญ่เข้าใจกันว่าฤดูร้อนเกิดจากการที่โลกเคลื่อนที่เข้าใกล้ดวง อาทิตย์ และฤดูหนาวมีอากาศหนาวเกิดจากการที่โลกอยู่ห่างจากดวงอาทิตย์ จริงอยู่ที่ว่าโลกเรานั้นมีบางช่วงที่เข้าใกล้ดวงอาทิตย์ และบางช่วงที่ถอยห่างจากดวงอาทิตย์ เนื่องจากโลกโคจรรอบดวงอาทิตย์เป็นวงรีเช่นเดียวกับดาวเคราะห์ดวงอื่น ๆ แต่วงรีนี้เป็นวงรีที่มีความรีน้อยมาก หรือกล่าวได้ว่าเกือบจะเป็นวงกลม ดังนั้นระยะห่างจากโลกถึงดวงอาทิตย์ของสองช่วงนี้จึงแตกต่างกันน้อยมากซึ่ง แทบจะไม่มีผลต่ออุณหภูมิเลย ยิ่งกว่านั้น ยังพบว่า ในฤดูหนาวโลกกลับอยู่ใกล้จากดวงอาทิตย์มากกว่าในฤดูร้อนเสียอีก แปลกใหมล่ะ?




แกนของโลกชี้ไปที่จุด ๆ เดียวในขณะที่โคจรรอบโลก ทำให้ซีกใดซีกหนึ่งของโลก
เอียงเข้าหาดวงอาทิตย์ในฤดูกาลหนึ่ง ๆ

กลไกสำคัญที่ทำให้เกิดฤดูกาลที่แท้จริงคือ ความเอียงของโลก โลกมีแกนเอียง 23.5 องศากับแนวตั้งฉากกับระนาบของระบบสุริยะ ดังนั้นจึงมีบางช่วงที่โลกหันซีกโลกเหนือเอียงเข้าหาดวงอาทิตย์ ส่วนซีกโลกใต้ก็หันเอียงออกจากดวงอาทิตย์ ช่วงนี้เองที่เป็นฤดูร้อนของซีกโลกเหนือ เนื่องจากแสงจากดวงอาทิตย์ส่องพื้นผิวโลกในส่วนที่เป็น- ซีกโลกเหนือในปริมาณมากกว่ามุมที่แสงแดดตกกระทบพื้นดินก็เป็นมุมมากกว่า และกลางวันก็ยาวกว่ากลางคืน ยกตัวอย่างเช่นประเทศไทย โลกจะหันประเทศไทยเข้าหาดวงอาทิตย์โดยตรงในช่วงเดือน- มีนาคมจนถึงพฤษภาคม ในขณะที่ทางประเทศออสเตรเลียเป็นช่วงฤดูหนาว เนื่องจากแสงแดดตกกระทบพื้นดินเป็นปริมาณน้อยกว่า และมีช่วงเวลากลางวันสั้นกว่าเวลากลางคืน เมื่อย่างเข้าช่วงเดือนพฤศจิกายนถึงเดือนธันวาคม โลกจะหันด้านใต้เข้าหาดวงอาทิตย์แทน ฤดูกาลก็จะสลับกัน ช่วงนี้จะเป็นฤดูร้อนของทางซีกโลกใต้และเป็นฤดูหนาวของทางซีกโลกเหนือ
คริสต์มาสที่ประเทศออสเตรเลียไม่มีหิมะ ไม่ต้องใส่ชุดหนา ๆ แต่ผู้คนจะไปเที่ยวตามชายหาด ปักต้นคริสต์มาสบนหาดทราย ฉลองคริสต์มาสและเล่นน้ำทะเลตามประสาหน้าร้อน


แกนเอียงของโลกทำให้พื้นที่ในซีกโลกเหนือและซีกโลกใต้ได้รับ
ปริมาณแสงแดดไม่เท่ากัน

2. หางของดาวหางเกิดจากการเคลื่อนที่ของดาวหางเอง

ผิด !
ดาวหางเฮล-บอปป์
ดูจากรูปของดาวหางก็ชวนให้คิดว่าเป็นอย่างนั้นเหมือนกัน เพราะหางของดาวหางดูแล้วเหมือนกับเปลวไฟที่พุ่งจากท้ายของจรวด จึงทำให้ชวนคิดว่าดาวหางพุ่งไปข้างหน้าตามทิศทางที่หัวดาวหางชี้ไป และมักจะพาให้นึกไปอีกว่าเมื่อดาวหางปรากฏ มันคงจะเคลื่อนที่เร็วฉิวจนต้องสะบัดหน้าตาม มักมีคนถามอยู่เสมอ ๆ ว่า "มันวิ่งเร็วไหม?" , "จะดูทันหรือ?"
แท้จริงแล้วหางของดาวหางไม่ได้เกิดจากการเคลื่อนที่ของดาวหาง แต่หางของดาวหางนั้นเกิดจากลมสุริยะซึ่งเป็นกระแสธารของอนุภาคประจุไฟฟ้า พลังงานสูงที่พัดมาจากดวงอาทิตย์ หัวของดาวหางมีองค์ประกอบเป็นน้ำแข็งและฝุ่นเป็นส่วนใหญ่ เมื่อดาวหางเข้าใกล้ดวงอาทิตย์ จะได้รับความร้อนและลมสุริยะจากดวงอาทิตย์ ทำให้น้ำแข็งในหัวของดาวหางเกิดการระเหิดเป็นก๊าซและพ่นออกมาจากรูเล็กรู น้อยในหัวดาวหาง และน้ำแข็งและฝุ่นก๊าซเหล่านี้ก็จะถูกลมสุริยะพัดออกไปตามทิศทางของลมสุริยะ ดังนั้นเราจึงเห็นว่าหางของดาวหางนั้นจะมีทิศทางชี้ไปทางตรงข้ามกับดวง อาทิตย์เสมอ


หางของดาวหางไม่ลู่ไปตามทิศทางการเคลื่อนที่ แต่ชี้ตรงข้ามกับดวงอาทิตย์

3. กล้องตัวนี้เห็นได้ไกลกี่กิโลเมตรครับ?

เชยแหลก ! คนที่ถามแบบนี้เรียกว่าเชยที่สุด กล้องโทรทรรศน์ กล้องส่องทางไกลหรือกล้องสองตา ต้องวัดกำลังขยายเป็น "เท่า" เช่น 32 เท่า หมายถึงกล้องตัวนี้จะสามารถดึงภาพให้ใกล้เข้ามา 32 เท่า ซึ่งกล้องจะดึงภาพจากทุกระยะเข้ามา 32 เท่า ๆ กันหมด ต้นไม้อยู่ห่าง 32 เมตรก็จะเห็นในกล้องเหมือนกับอยู่ข้างหน้าแค่ 1 เมตร ภูเขาอยู่ห่าง 32 กิโลเมตร ก็จะดูเหมือนอยู่ใกล้ 1 กิโลเมตรดาวที่อยู่ไกล 320 ปีแสง ก็จะดูใกล้เหมือนกับดาวอยู่ห่าง 10 ปีแสงดวงจันทร์อยู่ห่างจากโลก 384,000 กิโลเมตร ถ้าเอากล้องตัวนี้มาส่องดู ก็จะเหมือนกับอยู่ใกล้

 

4. องศาเคลวิน

ไม่รู้จัก !
ไม่มีหน่วยนี้ในวิชาวิทยาศาสตร์ อุณหภูมิสัมบูรณ์ของพลังงานความร้อนนั้นมีหน่วยเป็น เคลวิน ไม่ใช่ องศาเคลวิน อุณหภูมิต่ำสุดที่เป็นไปได้คือ 0 เคลวิน หรือ -273 องศาเซลเซียส ดูเหมือนกับคำว่าองศาเคลวินจะถูกนำไปใช้กันอย่างผิด ๆ บ่อยกว่าคำว่าเคลวินเสียอีก ฝรั่งเองก็หลงอยู่บ่อย ๆ

 

5. Astronomy & Astrology

ระวัง !
คำคู่นี้มีผู้เข้าใจผิดนำไปใช้สลับกันอยู่บ่อย ๆ Astronomy คือ ดาราศาสตร์ ส่วนคำว่า Astrology คือโหราศาสตร์

เป็นอย่างไรกันบ้างครับ ต้องมีบางข้อแน่เลย ที่ผู้อ่านยังเข้าใจผิดอยู่ ก็ลองรับข้อมูลที่ถูกต้องไปนะครับ จะได้นำไปบอกลูกหลานได้ถูก



ขอขอบคุณ
สมาคมดาราศาสตร์ไทย





วันอังคารที่ 21 มิถุนายน พ.ศ. 2554

มาใช้ Firefox หรือ Chrome กันเถอะ




สำหรับบางคนที่ไม่ค่อยสนใจเรื่อง IT เท่าไหร่ อาจจะงงว่าไอ้ Firefox หรือ Chrome นี่มันคืออะไร

มันก็คือ Web browser หรือพูดง่ายๆ ก็คือโปรแกรมเล่นอินเตอร์เนตเหมือนอย่าง Internet Explorer นั่นเอง

สำหรับคนที่เคยใช้แต่ Internet Explorer คงจะเจอกับปัญหาจุกจิก ให้รำคาญใจบ่อยๆ ไม่ว่าจะเป็น เปิดเว็บช้าบ้าง ค้างบ่อยๆ หรือแม่แต่ปัญหาไวรัส มัลแวร์ หรือโทรจันต่างๆ

เพราะฉะนั้น ผู้เขียนเลยอยากให้ทุกท่าน ลองมาใช้ Firefox หรือ Chrome ดู โดยคุณ KaizerWing จาก ping2p.blogspot.com ให้เหตุผลไว้อย่างน่าสนใจ ดังนี้


เหตุผลที่ฝ่าย IT แนะนำให้ใช้ Mozilla Firefox หรือ Google Chrome

หลายท่านในสำนักงานคงคุ้นเคยกับการที่ฝ่าย IT พยายามผลักดันให้ใช้ Firefox หรือ Chrome แทน Internet Explorer (IE) ของ Microsoft นะครับ ซึ่งก่อนจะอธิบายเหตุผลในแง่ความสามารถแล้ว ผมอยากให้ดูสถิติการใช้งาน Web Browser ตั้งแต่ปี 2008 - 2011
http://gs.statcounter.com/#browser-ww-monthly-200807-201102

จากสถิติแสดงให้เห็นว่า IE นั้น คนทั่วโลกใช้งานน้อยลงเรื่อยๆ (45.44%) โดยมี Firefox (30.37%) และ Chrome (16.54%) ที่กินส่วนแบ่งมาได้ (โดยเฉพาะ Chrome ที่กำลังมาแรงมาก) โดยถ้าดูในทวีปยุโรปจะเห็นว่ามีคนใช้ Firefox มากกว่า IE แล้ว http://gs.statcounter.com/#browser-eu-monthly-200807-201102

ส่วนอีก 2 ประเทศที่น่าสนใจคือเวียดนาม http://gs.statcounter.com/#browser-VN-monthly-200807-201102 กับ ไทย http://gs.statcounter.com/#browser-TH-monthly-200807-201102 มีการใช้ IE (44.14% กับ 72.28%) มีการใช้ Firefox (39.62% กับ 15.07%) (ตัวเลขแรกคือเวียดนาม ตัวที่สองคือไทยครับ)


แล้วทำไมคนทั่วโลกถึงได้มีอัตราการใช้ IE ที่ลดลงเรื่อยๆ?

ที่เห็นได้ชัดสุดผมอยากให้ลองดูการวัดประสิทธิภาพโดยเว็บ Six Revisions ซึ่งเป็นเว็บที่มีชื่อเสียงในด้านการให้ความรู้เกี่ยวกับการพัฒนาเว็บ ไซต์
http://sixrevisions.com/infographs/browser-performance/ และเว็บ CybernetNews http://cybernetnews.com/browser-comparison-internet-explorer-firefox-chrome-safari-opera/
จะเห็นได้ว่า IE 8 ซึ่งเป็นตัวปัจจุบันมีประสิทธิภาพแย่กว่า Web Browser ตัวอื่นมาก ไม่ว่าจะเป็นในแง่ ความเร็วในการเปิดหน้าเว็บ การใช้งาน CPU หรือปริมาณ RAM ที่ใช้ก็ตาม

แต่ที่สำคัญคือในเรื่องการปฏิบัติตามมาตรฐานเว็บไซต์ จากการทดสอบด้วยชุดทดสอบ Acid3 คะแนนเต็ม 100 Firefox 3.5 ได้ 93 Chrome 3 ได้ 100 แต่ IE 8 ได้เพียง 20 ซึ่งประเด็นนี้ทำให้นักพัฒนาเว็บทั้งหลายปวดหัวกันมาก เพราะสร้างเว็บตรงตามมาตรฐานแต่ถ้าเปิดด้วย IE กลับเปิดแล้วเพี้ยนหรือเปิดไม่ขึ้น ดังนั้นนักพัฒนาจึงต้องทำเว็บหลายเวอร์ชันให้รองรับกับสิ่งที่ไม่ใช่มาตรฐาน (เว็บไซต์ nia.or.th ก็ทำทั้งรูปแบบที่รองรับ IE และ Web Browser อื่นที่ได้มาตรฐาน แต่ในขณะที่เว็บไซต์ที่ใช้กันเองภายในเพื่อเป็นการประหยัดเวลาจึงเน้นพัฒนา ตามมาตรฐานก่อน เพราะสามารถควบคุมการใช้งาน Web Browser ได้)

แล้วทำไมคนส่วนใหญ่ยังใช้ IE กันอยู่?
เหตุผลง่ายๆเหตุผลหนึ่งคือ IE แถมติดมากับ Windows ครับ โดยเฉพาะ Windows XP ที่แถม IE 6 มาให้ ซึ่งอายุของ IE 6 ก็ร่วมทศวรรษแล้ว (เริ่มปี 2001) ถึงกับมีบางเว็บตั้ง campaign ต่อต้าน IE 6 เลยทีเดียว (
http://www.ie6nomore.com/) ในยุโรปถึงกับออกใช้มาตรการป้องกันการผูกขาดโดยให้ผู้ใช้สามารถเลือก Browser ได้เองตอนลง Windows ครั้งแรก

ซึ่งหน่วยงานราชการไทยหลายแห่งก็ยังคงไม่ทราบข้อมูลเหล่านี้ และนิยม IE เป็น Browser หลัก ทำให้เป็นเรื่องขบขันในหมู่นัก IT ว่าหน่วยงานราชการไทยต้อง IE Only แต่ในขณะนี้ผมภูมิใจที่ได้บอกกับคนอื่น ว่าสำนักงานนวัตกรรมแห่งชาติไม่ได้อยู่ในกลุ่มนั้นแล้วครับ

แต่ก็น่ายินดีที่ในอนาคต IE 9 ของ Microsoft ที่กำลังจะออกมาในเร็วๆนี้ในสนใจที่จะทำตามมาตรฐานเว็บมากขึ้น และได้พัฒนาประสิทธิภาพที่ดีขึ้นมาก มาช้ายังดีกว่าไม่มานะครับ

แล้วถ้า Browser ตัวใหม่ของแต่ละค่ายออกมาเมื่อไหร่จะมาเล่าสู่กันฟังอีกทีนะครับ


เป็นอย่างไรบ้างครับ ต้องขอขอบคุณข้อมูลจากคุณ KaizerWing มา ณ โอกาสนี้นะครับ บทความนี้เค้าเขียนไว้ตั้งแต่เดือนมีนาคม 54 ซึ่งตอนนั้น Firefox 4 ยังไม่ออกมา แต่ปัจจุบันนี้ Firefox 4 ได้ออกมาแล้ว (Firefox 5 ก็มาแล้วเช่นกัน) พร้อมกับทำสถิติยอดดาวน์โหลดมหาศาล (มากว่า IE 9 ที่ออกมาก่อนหน้าอีกด้วย) ส่วน Chrome ก็พัฒนาถึงเวอร์ชั่น 12 แล้วเช่นกัน ผู้เขียนก็หวังว่าโปรแกรมเหล่านี้จะเป็นทางเลือกให้เราท่องเนตได้น่าอภิรมย์ยิ่งขึ้นนะครับ

วันพฤหัสบดีที่ 9 มิถุนายน พ.ศ. 2554

เกร็ดเล็ก เกร็ดน้อย เกี่ยวกับสุขภาพ





1. ใบต้นหอมมีประโยชน์
เมื่อมีอาการคัดจมูกให้เด็ดใบต้นหอมมา 1 ใบ เอาด้านในของใบมาทาบติดจมูก ทิ้งไว้สักครู่จะรู้สึกหายใจสะดวก

2. ขิงระงับอาการไอ
เวลาที่เราไอ ให้เอาขิงบดละเอียดคั้นเอาน้ำออก จากนั้นใช้ผ้าขาวบางหรือผ้าขนหนูชุยน้ำขิงมาปิดตรงคอ พันทิ้งไว้ 1 คืน จะช่วยระงับอาการไอได้

3. หัวผักกาดระงับอาการเจ็บคอ
เวลาเจ็บคอ ให้เอาหัวผักกาดขาวมาบดให้ละเอียด บีบน้ำให้แห้ง จากนั้นนำมาวางบนผ้าแล้วเอาผ้าอีกผืนวางทับ นำไปพันคอ ปล่อยทิ้งไว้ประมาณ 20-30 นาทีจึงเอาออก จะช่วยระงับอาการเจ็บคอ

4. แก้อาการสะอึก
ใส่น้ำในชาม วางตะเกียบคู่หนึ่งบนปากชาม ใช้คางเกยตะเกียบไว้แล้วใช้ลิ้นค่อยๆ เลียน้ำจากชามจะช่วยให้หายสะอึก

5. น้ำผึ้งรักษาปากเปื่อยได้
ใช้น้ำผึ้งทาบริเวณที่ปากเปื่อย แรกๆ อาจรู้สึกแสบ แต่จะช่วยได้ ที่สำคัญต้องเป็นน้ำผึ้งแท้เท่านั้น

6. การใช้ยาหยอดตาที่ถูกวิธี
คนที่มีปัญหาที่ตามักจะหยอดตาก่อนนอน ซึ่งจะทำให้เลือดไปค้างตรงบริเวณตา เวลาตื่นนอนจะทำให้ตาบวมหรือมีขี้ตา ดังนั้น ควรหยอดตาก่อนเข้านอนประมาณ 1 ชั่วโมง

7. ตั้งโต๊ะทำงานอย่างไร ไม่ให้เสียสายตา
เวลาอ่านหรือเขียนหนังสือ ถ้าแสงน้อยไป จะเกิดผลเสียต่อสายตา ให้ลองตั้งโต๊ะติดหน้าต่างหันไปทางทิศเหนือ เพราะแสงที่เข้าทางหน้าต่างจะเฉียงด้านซ้าย เราจึงไม่ถูกแสงตรงและแรงเกินไป ช่วยไม่ให้ระคายเคืองสายตา

8. นวดหน้าท้อง แก้ปัญหาท้องผูก
ก่อนลุกจากเตียงในตอนเช้า ให้นอนหงายบนเตียงแล้วใช้น้วมือทั้งสองข้างประกบกัน ให้ปลายนิ้วมือชี้ลงทางปลายเท้า ใช้ปลาบนิ้วคลึงไปรอบๆ สะดือ ตามเข็มนาฬิกา นวดหลายๆ รอบแล้วจึงลุกจากเตียง วิธีนี้จะช่วยบรรเทาอาการท้องผูกได้

9. ผลมะเดื่อรักษาริดสีดวงทวาร
ถ้าเป็นริดสีดวงทวาร ให้กินผลมะเดื่อวันละ 3-4 ผลเป็นประจำ หรือจะใช้ยางจากขั้วมาทาก็รักาได้เช่นกัน

10. เกลือคั่ว รักษากลิ่นตัว
หากมีกลิ่นตัว ให้นำเกลือมาคั่วแล้วใส่ถุงผ้าเล็กๆ มาถูเช้าเย็นทุกวัน จะช่วยให้กลิ่นตัวนั้นหมดไป

11. เยื่อเปลือกไข่หุ้มปากแผล
เวลาโดนมีดบาดนิ้วให้ใช้เยื่อบางๆ ใต้เปลือกไข่พันแผลไว้ นอกจากจะช่วยห้ามเลือดแล้ว ยังปลอดภัยต่อการติดเชื้อด้วย

12. เบบี้ออยล์ช่วยให้ผ้าพันแผลลอกง่าย
เวลาจะเปลี่ยนผ้าพันแผลใหม่ ก่อนดึงผ้าอันเก่าออกให้หยดเบบี้ออยล์ลงไปก่อนสักครู่ แล้งจึงค่อยๆ ดึงออก จะไม่เจ็บและผ้าพันแผลจะออกง่าย

วันศุกร์ที่ 3 มิถุนายน พ.ศ. 2554

วิธีลดความอ้วน...แบบกล้วยๆ

 

จากหนังสือพิมพ์ Bangkokbusinesenews ฉบับวันศุกร์ที่ 9 ตุลาคม พ.ศ. 2552

สรุปใจความได้ดังนี้


การรับประทานกล้วยมื้อเช้าเป็นที่นิยมในประเทศญี่ปุ่นเป็นอย่างมาก ปัจจุบันมีการก่อตั้งชุมชนออนไลน์ (Social Networking Service) สำหรับคนกินกล้วยเป็นอาหารมื้อเช้า(Mixi) เพื่อให้ข้อมูลความสำคัญของอาหารมื้อเช้าและการปฏิบัติตนเพื่อลดความอ้วนโดยใช้กล้วยเป็นอาหารทดแทนอาหารหลัก และพบว่าภายในเวลาสองปีครึ่งที่ผ่านมา สมาชิกชุมชนประสบความสำเร็จในการลดน้ำหนักถึง 300 คน

โดยชุมชนออนไลน์นี้มีผู้นำชื่อ "ฮามาจิ"

สูตรไดเอ็ทของเขาคือ กล้วยกี่ลูกก็ได้ตามใจอยาก  + น้ำเปล่า

ฮามาจิ พบว่าการลดน้ำหนักสัมพันธ์กับระบบย่อยอาหารในร่างกายของคนเราคือ

1. การกินผลไม้อย่างเดียว ทำให้กระเพาะได้พักผ่อน ช่วยฟื้นฟูสภาพการทำงานของกระเพาะ ลำไส้ และอวัยวะต่างๆ ในร่างกาย
2. หลังจากรับประทานผลไม้ไป 15-20 นาที ผลไม้จะเคลื่อนที่ไปสู่ลำไส้ และเริ่มถูกดูดซึมเข้าสู่ร่างกาย ขณะที่ผักคาร์โบไฮเดรตและโปรตีน จะใช้เวลาในการย่อยนานกว่า 3-4 ชั่วโมง
3. ส่วน “น้ำ” ที่ดื่มเข้าไป จะช่วยทำให้การหมุนเวียนของเลือด และของเหลวในร่างกายดีขึ้น ส่งผลดีต่อการขับของเสียออกจากร่างกาย


สารอาหารที่ได้จากกล้วยได้แก่

1. วิตามินบี1 และบี 2 เร่งการเผาผลาญน้ำตาลและไขมัน ป้องกันตัวบวม และฟื้นฟูร่างกายจากความเหนื่อยล้า
2. เกลือแร่ เช่น โปรแตสเซียม  ช่วยในการขับโซเดียมออกทางปัสสาวะ และแมกนีเซียม ช่วยควบคุมความดันเลือด และการทำงานของแคลเซียม
3. มีเส้นใย (fiber) บรรเทาอาการท้องผูกได้ดี
4. กล้วยยังมีฤทธิ์ในการขับพิษสูง เพราะแป้งในกล้วยดิบจะช่วยดีท็อกซ์ ส่วนกล้วยสุกช่วยเสริมภูมิต้านทานป้องกันหวัดได้ดี
5. สารโพลีฟินอล มีฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระ ทำหน้าที่ชะลอความแก่
6. สารยูจินอล ซึ่งเป็นไฟโตเคมีคัล ที่ช่วยเร่งการพัฒนาสภาพร่างกาย
7. เซโรโทนิน ช่วยลดอาการหงุดหงิด และทำให้ความอยากอาหารลดลง
8. ในเนื้อกล้วยเองมีเอ็นไซม์ช่วยย่อย ก็จะทำให้การย่อยเป็นไปอย่างราบรื่น
9. น้ำตาลในกล้วย ยังช่วยเพิ่มประสิทธิภาพให้มีสมาธิกับการทำงานมากขึ้น และส่งผลให้ความถี่และปริมาณการบริโภคน้ำตาลในระหว่างวันลดลงไปโดยปริยาย
10. มีผลวิจัยว่ากล้วยช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานของเซลล์ NK ซึ่งเป็นเซลล์ที่ทำหน้าที่จัดการมะเร็งได้ด้วย


วิธีปฏิบัติ

1. เริ่มจากกินกล้วยหอมอย่างเดียวในมื้อเช้า จะกี่ลูกก็ได้ตามต้องการ เคี้ยวให้ละเอียด
2. หลังจากกินเสร็จแล้วยังหิวอยู่ ให้เว้นระยะเวลา 15-30 นาที จึงรับประทานอย่างอื่น เช่น ข้าว
3. ถ้าวันไหนเบื่อกล้วย หรือไม่ชอบกล้วยหอมจริงๆ จะเปลี่ยนเป็นผลไม้ชนิดอื่นก็ได้ แต่ขอให้เป็นผลไม้ชนิดเดียวเท่านั้น เพื่อแบ่งเบาภาระของกระเพาะของเราไม่ให้เหนื่อยเกินไปที่จะผลิตน้ำย่อยกรดด่างต่างกัน
4. การดื่มเฉพาะน้ำเปล่า ณ อุณหภูมิห้อง และดื่มบ่อยๆ โดยไม่ต้องกังวลเรื่องปริมาณ
5. ส่วนมื้อกลางวัน จะกินอะไรก็ได้ แต่ต้องเคี้ยวให้ละเอียด กินให้เต็มที่ เพื่อลดการกินจุบกินจิบระหว่างวัน
6. พอถึงบ่ายสามก็กินของว่างได้บ้าง โดยเฉพาะของว่างประเภทข้าว ช็อกโกแลต หรือผลไม้ชนิดใดชนิดหนึ่งเท่านั้น และกินอาหารเย็นให้เร็วที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ โดยเวลาเหมาะสมจะอยู่ที่ 6 โมงเย็นแต่ไม่เกิน 2 ทุ่ม และพยายามกินให้เร็วขึ้นจากปัจจุบันสักครึ่งชั่วโมง รวมทั้งไม่รับประทานของหวานหลังอาหารเย็นด้วย
7. นอนหลับให้ไวขึ้น ไม่ว่าจะอย่างไรก็ต้องนอนก่อนเที่ยงคืนให้ได้
8. ให้ความสำคัญกับการออกกำลังกายที่ไม่หักโหมจนเกินไป ทำให้พอเหมาะ เพื่อร่างกายสดชื่น


         อย่างไรก็ดี นักโภชนาการแนะนำว่า สูตรนี้เหมาะกับคนที่ไม่รับประทานอาหารเช้า หรือรับประทานอาหารเช้าที่ไม่มีประโยชน์ต่อร่างกาย แต่ผู้ที่ไม่ควรลิ้มลองคือ ผู้ป่วยโรคเบาหวานและโรคไต เนื่องจากกล้วยมีน้ำตาลและโปแตสเซียมสูง ในขณะที่ผู้ที่รับประทานอาหารเช้าเพื่อสุขภาพอยู่แล้วก็ไม่จำเป็น อาทิเช่น คอร์นเฟลกกับนม, ข้าวกับแกงจืดตำลึง หรือ ข้าวกับไก่ผัดขิง เป็นต้น

    
ในขณะเดียวกัน สูตรลดน้ำหนักนี้ก็ไม่เหมาะกับเด็กวัยเรียน เนื่องจากเด็กวัยนี้ต้องการโปรตีนในช่วงเช้าเพื่อเป็นแหล่งพลังงานระหว่าง วัน โดยนักโภชนาการแนะว่า หากต้องการลดน้ำหนัก อาจจะปรับสูตร เช่น กล้วยกับหมูปิ้ง กล้วยกับไข่ต้ม หรือกล้วยกับชีสแบบไขมันต่ำ

    
นักโภชนาการยังบอกด้วยว่า ไม่เฉพาะแต่กล้วยที่สามารถนำไปใช้เป็นสูตรลดน้ำหนักได้ ผลไม้อื่นก็สามารถทำได้เช่นกัน โดยดูจากผลไม้ที่ไม่หวานมาก ไม่หนักแป้ง และกินได้ง่าย เช่น แอ๊ปเปิ้ล แคนตาลูป หรือแตงโม เป็นต้น ในขณะเดียวกัน ก็ควรหลีกเลี่ยงทุเรียน, ขนุน ที่หวานจัดหรือผลไม้ที่เป็นกรดเช่น สับปะรด

ข้อมูล
ladytip.com
iqraforum.com

วันพฤหัสบดีที่ 2 มิถุนายน พ.ศ. 2554

หาทางออกเมื่อความคิดจนมุม



        คนเรานั้น ต่อให้เก่งกาจ ปราดเปรื่อง ระดับอัจฉริยะ ก็ต้องมีวันจนมุมทางความคิดเข้าจนได้แหละน่า ในการทำงานรูปแบบใดก็ตามไม่ใช่ว่าอยู่ดีๆแล้วความคิดสร้างสรรค์หรือไอเดียใหม่ๆจะเกิดขึ้นมา ได้ง่ายๆบางครั้งคุณอาจจะจนมุมคิดอะไรไม่ออก เรามีวิธีช่วยให้คุณสร้างมันขึ้นมาได้เองเรื่อยๆดังนี้
        ลองทำแบบเด็กๆ ข้อดีของเด็กก็คือเด็กสามารถเปิดหู เปิดตารับรู้สิ่งใหม่ๆ ได้มากกว่าผู้ใหญ่ ดังนั้น การเก็บของเล่น บางชิ้นไว้ข้างๆตัว เช่น ดินสอสีหรือดินน้ำมัน จะทำให้คุณคลายความเครียดได้ คุณอาจจะนำมาเล่นเวลาที่สมองไม่ทำงาน และมันยังช่วยย้ำเตือนความสนุกสนานสมัยเด็กอีกครั้ง จนส่งผลให้ความคิดของคุณกระฉับกระเฉง มากยิ่งขึ้น
        ใช้กลยุทธ์ ใยแมงมุม ลองเขียนหัวข้อในกระดาษดู แล้วลากเส้นออกไปสัก5-6เส้น ในแต่ละปลายของเส้นให้คุณเขียนคำแรกที่แวบเข้ามาในใจของคุณลงไป จากนั้นก็ให้ลากเส้นเพิ่มต่อไปจากคำนั้น อีก 6 เส้น ทำเช่นนั้นจนสุดของกระดาษ การใช้วิธีแตกหน่อสร้างใยแมงมุมเช่นนี้ จะทำให้คุณมองเห็นสิ่ง ที่เขื่อมโยงต่อกัน ซึ่งทำให้คุณ ได้แนวคิด สร้างสรรค์ใหม่ๆออกมา
        เปลี่ยนบรรยากาศให้แปลกใหม่ การทำงานที่จำเจ อยู่ในสภาพแวดล้อม เดิมๆ จะทำให้สมองของคุณถูกปิดกั้น และความคิดสร้างสรรค์ถูกบั่นทอน คุณควรจะหามุมหนึ่งในห้องทำงาน ซึ่งไม่มีใครใช้ หรือในห้องประชุมที่ไม่มีคนอยู่เป็นที่ทำงาน         การนั่งทำงานในที่ใหม่ๆ จะทำให้คุณ สร้างสรรค์สิ่งใหม่ๆออกมา และทำให้ไอเดียบรรเจิดขึ้น ถ้าคุณไม่อาจจะย้ายไปนั่งทำงานในที่อื่นได้ ก็ให้ตกแต่งโต๊ะทำงานเสียใหม่ อาจหารูปภาพสวยๆ มาวางไว้ คุณจะตกแต่ง อย่างไรก็ได้ เพื่อเปลี่ยน ความรู้สึก ที่ว่า คุณทำงานอยู่ที่นี่ มาเป็นชาติแล้ว
ที่มา : jobbkk 17-2-2554